5 งานที่ AI แทนที่ไม่ได้ ปี 2030: 90% ของผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้

5 งานที่ AI แทนที่ไม่ได้ ปี 2030: 90% ของผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้

ความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับ AI และหุ่นยนต์ 

หลายคนเชื่อว่างานที่ต้องใช้ "ความคิดสร้างสรรค์" หรือ "ทักษะทางเทคนิค" คือ งานที่ AI แทนที่ไม่ได้ และจะปลอดภัยจาก AI แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT, Midjourney และ GitHub Copilot พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างงานศิลปะ เขียนโค้ด และแต่งเพลงได้อย่างน่าประทับใจ ความจริงที่น่าตกใจ: งานที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่งานที่ต้อง "ฉลาด" แต่เป็นงานที่ต้องใช้ ความเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง

เลือกอ่าน

5 งานที่ AI แทนที่ไม่ได้ (จนถึงปี 2030)

1. ความเห็นอกเห็นใจและการเชื่อมต่อทางอารมณ์ (Empathy)

AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ได้ แต่ไม่สามารถ "รู้สึก" ได้จริง งานที่ต้องการ: การปลอบโยนผู้ป่วยระยะสุดท้าย, การให้คำปรึกษาผู้ประสบภัยจากการสูญเสีย, การสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าในสถานการณ์ละเอียดอ่อน

ตัวอย่างอาชีพ: พยาบาล, นักจิตวิทยา, ที่ปรึกษาโรคมะเร็ง, โค้ชด้านความสัมพันธ์

 

2. การตัดสินใจที่ซับซ้อนในบริบทที่ไม่แน่นอน

AI ตัดสินใจจากข้อมูล แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ไม่มี "คำตอบที่ถูกต้อง" เพียงคำตอบเดียว เช่น การเจรจาข้อพิพาททางการเมืองระหว่างประเทศ, การตัดสินใจทางจริยธรรมในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตัวอย่างอาชีพ: ผู้พิพากษา, นักการทูต, ผู้จัดการวิกฤต, คณะกรรมการจริยธรรม

 

3. ความคิดสร้างสรรค์ที่มาจากประสบการณ์มนุษย์

AI สร้างสรรค์ได้ แต่เป็นการ "ผสมผสาน" สิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่การสร้าง "แนวคิดใหม่" จากประสบการณ์ชีวิต เช่น ศิลปินที่สะท้อนความเจ็บปวดส่วนตัวผ่านงาน, นักประดิษฐ์ที่คิดค้นโซลูชั่นจากปัญหาชีวิตจริง

ตัวอย่างอาชีพ: ศิลปินร่วมสมัย, นักออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ระดับสูง, บรรณาธิการบทความเชิงลึก

 

4. การทำงานที่ต้องใช้ร่างกายในสภาพแวดล้อมที่ไม่คาดเดา

หุ่นยนต์เก่งในโรงงาน แต่ยังทำงานในโลกจริงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้ไม่ดี เช่น ช่างซ่อมที่ต้องเข้าไปในพื้นที่แคบ, ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ต้องช่วยเคลื่อนย้ายแบบอ่อนโยน

ตัวอย่างอาชีพ: ช่างซ่อม, ผู้ดูแลผู้สูงอายุ, นักกายภาพบำบัด, ช่างทำสวน

 

5. ความไว้วางใจและการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว

คนซื้อของจากคน ไม่ใช่จากโค้ด โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องการความเชื่อมั่นสูง เช่น ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล, ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการครอบครัว

ตัวอย่างอาชีพ: ที่ปรึกษาการเงิน, เอเจนต์อสังหาริมทรัพย์, ทนายความ, แพทย์เฉพาะทาง

อาชีพที่จะ "ปลอดภัย" ที่สุดในปี 2030

ระดับความปลอดภัย

ตัวอย่างอาชีพ

เหตุผลหลัก

ปลอดภัยสูงมาก (90-100%)

พยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย, นักจิตวิทยาคลินิก, ผู้พิพากษาศาลฎีกา, ศิลปินร่วมสมัย

ต้องการความเห็นอกเห็นใจลึกซึ้ง, การเชื่อมต่อทางอารมณ์ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรม

ปลอดภัยสูง (70-89%)

นักการศึกษาพิเศษ, นักสังคมสงเคราะห์, ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล, ที่ปรึกษาธุรกิจระดับผู้บริหาร

ต้องจัดการความขัดแย้ง, การสื่อสารซับซ้อน และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์

ปลอดภัยปานกลาง (50-69%)

ช่างทำสวน/ภูมิสถาปนิก, เชฟระดับมิชลิน, นักวิจัยด้านสังคมศาสตร์, ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์

ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมจริง และความคิดสร้างสรรค์ที่ผสานวัฒนธรรม/วิสัยทัศน์

อาชีพที่คนคิดว่า "ปลอดภัย" แต่จริงๆ แล้วเสี่ยง (ต่อการถูกแทนที่บางส่วนโดย AI)

⚠️ นักเขียนโปรแกรม: AI สามารถเขียนโค้ดได้ดีขึ้นทุกวัน (GitHub Copilot เขียนโค้ดได้ 40% ของโปรเจกต์)

⚠️ นักออกแบบกราฟิก: Midjourney และ Adobe Firefly สร้างดีไซน์ได้ภายในวินาที

⚠️ นักบัญชี: ระบบ AI ทำบัญชีอัตโนมัติได้เกือบทุกงานพื้นฐาน

⚠️ นักแปล: ChatGPT แปลภาษาได้ใกล้เคียงมนุษย์มาก

⚠️ เภสัชกร: ระบบ AI ตรวจสอบการจ่ายยาและปฏิสัมพันธ์ยาได้แม่นยำกว่ามนุษย์

วิธีเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับปี 2030: พัฒนา "ทักษะความเป็นมนุษย์"

สำหรับคนทำงาน:

พัฒนา Soft Skills แทน Hard Skills: ฝึกทักษะการฟัง, การสื่อสารอย่างเห็นอกเห็นใจ, การจัดการความขัดแย้ง

เรียนรู้ทำงานร่วมกับ AI: ใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คู่แข่ง เรียนรู้ Prompt Engineering เข้าใจข้อจำกัดของ AI (เช่น ใช้ หุ่นยนต์บริการ temi V3 ในการทำ Video Call ตรวจสอบผู้ป่วยเบื้องต้น แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางอารมณ์)

สำหรับผู้ปกครอง:

ไม่ควรบังคับลูกเรียน Coding เพียงอย่างเดียว: ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์, ให้เรียนรู้ทักษะสังคม, สนับสนุนกิจกรรมที่สัมผัสธรรมชาติและมนุษย์

AI จะแทนที่หมอได้ไหม?

หมอที่ทำงานวินิจฉัยด้วยข้อมูลเพียงอย่างเดียวมีสิทธิ์จะถูกแทนที่ แต่หมอที่ใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วย สร้างความเชื่อมั่น และตัดสินใจในกรณีซับซ้อนจะยังคงมีความสำคัญมากๆ

ทำไม Creativity ไม่ช่วยปกป้องเราจาก AI?

เพราะ AI สามารถเลียนแบบรูปแบบความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วได้ แต่ความคิดสร้างสรรค์ที่มาจาก "ประสบการณ์มนุษย์" และ "การตีความโลกแบบมนุษย์" นั้น AI ยังทำไม่ได้

สรุป: อนาคตเป็นของคนที่เป็น "มนุษย์" มากที่สุด

เพื่อให้อยู่รอดในตลาดแรงงานยุคหน้า คุณไม่ควรเน้นการแข่งขันกับหุ่นยนต์ในสิ่งที่มันเก่งกว่า (เช่น ความเร็วและความแม่นยำในการคำนวณ) แต่ควรเน้นการพัฒนาทักษะที่เป็น จุดแข็งของมนุษย์:

  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Continuous Learning): โลกเปลี่ยนเร็ว คุณต้องพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับเครื่องมือ AI ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

  • ความเชี่ยวชาญด้าน AI และข้อมูล (Data Literacy): เรียนรู้การทำงานร่วมกับ AI ไม่ใช่การกลัวมัน เช่น การใช้ AI เพื่อเสริมประสิทธิภาพงานของคุณ

  • ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Skills): ลงทุนในความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การเป็นผู้นำ และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี

ก่อนจากกันทีมงาน Salvator Tech ขอฝากไว้สักประโยคนึงครับว่า

"งานที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่แค่งานที่ AI เข้าไม่ถึง แต่คืองานที่ มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นเอง"

คอนเทนต์อื่นๆที่น่าสนใจ

Salvator Tech ร่วมกิจกรรม มจพ. แนะนำหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา Kebbi Salvator Tech joins KMUTNB activity to introduce Kebbi educational robot
News and Events

Salvator Tech ร่วมกิจกรรม มจพ. แนะนำหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา Kebbi

ซัลวาทอร์ เทค เดินหน้าสนับสนุนการศึกษาไทย ด้วยหุ่นยนต์เต็มรูปแบบ ร่วมกิจกรรมเปิดบ้าน Open House กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ หรือ มจพ.วิทยาเขตระยอง พร้อมจัดแสดงนวัตกรรม หุ่นยนต์เพื่อ..
อ่านต่อ
Computer Union จับมือ Salvator Tech ใช้หุ่นยนต์ Generative Ai Computer Union partners with Salvator Tech to use Generative AI robots
News and Events

Computer Union จับมือ Salvator Tech ใช้หุ่นยนต์ Generative Ai

คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน ผู้นำบริการซอฟต์แวร์ชั้นนำของไทย จัดงาน CU Executive Partner Kickoff 2024 เชิญพาร์ทเนอร์มาร่วมฟังนโยบาย วิสัยทัศน์ และทิศทาง การขับเคลื่อนธุรกิจ
อ่านต่อ